วัดสังกระต่าย ตั้งอยู่ที่ตำบลศาลาแดง อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง เป็นโบสถ์เก่าแก่มีอายุกว่า 400 ปี ถูกสร้างก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ยังคงหลงเหลือไว้ให้เห็นเพียงโบสถ์เก่าแก่หลังหนึ่ง ที่ได้ผุพังไปเกือบหมดตามกาลเวลา แต่ในส่วนของผนังของโบสถ์ไม่ได้ผุพังลงมา เนื่องจากมีต้นโพธิ์ 4 ต้นขนาดใหญ่ มีรากขึ้นปกคลุม และยึดโครงสร้างผนังรอบโบสถ์ และภายในโบสถ์เอาไว้อย่างมั่นคง ซึ่งเป็นน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก จนสถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Unseen ของจังหวัดอ่างทองไปแล้ว และทางกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยอีกด้วยนะคะ
วัดแห่งนี้ในครั้งอดีตชื่อว่า "วัดสามกระต่าย" คือชื่อที่กรมศาสนาได้ลงชื่อไว้ในสมัยโบราณค่ะ แต่ปัจจุบันได้เรียกเพี้ยนเรื่อยมา จนกลายเป็นชื่อ "วัดสังกระต่าย" ปัจจุบันไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาแล้วนะคะ เพราะมีการเล่าขานกันว่า ในอดีตพระสงฆ์ทะเลาะวิวาทกันตลอด ชาวบ้านเชื่อว่า เจ้าที่ที่รักษาวัดแรงมาก จึงทำให้พระสงฆ์ไม่สามัคคีกัน ชาวบ้านจึงเริ่มเสื่อมศรัทธา และหันไปสร้างวัดใหม่ คือ วัดไผ่ล้อม ชาวบ้านได้ย้ายกุฏิที่วัดสังกระต่าย เพื่อไปสร้างเป็นกุฏิใหม่ที่วัดไผ่ล้อมแทน จึงทำให้วัดสังกระต่ายเหลือเพียงโบสถ์ร้าง ที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นโพธิ์อย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ค่ะ
ภายในโบสถ์มีทั้งหมด 3 ห้อง โดยห้องแรกจะมีพระบูชา คือ หลวงพ่อแก่น ซึ่งแต่เดิมนั้นหลวงพ่อแก่นไม่ได้อยู่ที่นี่นะคะ มีเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาว่า มีโจรได้ไปขโมยเศียรของหลวงพ่อ มาจากวัดในวิเศษชัยชาญ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ โจรได้นำเศียรมาทิ้งไว้ในพงหญ้า ที่บริเวณวัดสังกระต่ายแห่งนี้ ชาวบ้านได้ไปพบเจอเข้า จึงได้นำเศียรมาไว้ในโบสถ์ ต่อมาได้มีการนำเศียรพระมาบูรณะ แล้วจึงทำการปั้นขึ้นเป็นองค์พระ และอัญเชิญมาประดิษฐานที่โบสถ์แห่งนี้ ดังเช่นที่เราเห็นในปัจจุบันค่ะ
ส่วนห้องที่ 2 จะเป็นพระประธานภายในโบสถ์แห่งนี้ค่ะ โดยมีหลวงพ่อวันดีซึ่งเป็นองค์กลาง มีหลวงพ่อศรีและหลวงพ่อสุข ขนาบข้างซ้ายขวา มีเรื่องเล่าอีกเช่นกันค่ะ ว่าองค์พระทั้งหมดเดิมทีอยู่ในโบสถ์แห่งนี้ ที่มีสภาพถูกลักลอบตัดเศียรกองอยู่กับพื้น แต่ไม่สามารถเอาไปได้ แต่ที่เราเห็นในสภาพปัจจุบันคือ ได้ทำการนำเศียรขึ้นไปต่อไว้เช่นเดิม และทำการบูรณะซ่อมแซมจนเรียบร้อยแล้วค่ะ
ส่วนห้องสุดท้าย คือ ปู่โสม และ ปู่พญานาค ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมากค่ะ ปัจจุบันวัดสังกระต่ายได้ถูกบูรณะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ยังคงรักษาสภาพเดิมเอาไว้ เพียงแต่ทำให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น สะอาดขึ้น โดยการดูแลจากชาวบ้าน และทางสำนักงานเทศบาลตำบลศาลาแดงค่ะ เพื่อให้ประชาชนทั่วไป ได้แวะเวียนมาสักการะกราบไหว้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม แม้ว่าตัวโบสถ์จะไม่มีหลังคา แต่บรรยากาศร่มรื่นมาก เพราะได้อาศัยร่มเงาของต้นโพธิ์ที่ปกคลุม จนเปรียบเสมือนเป็นหลังคาไปโดยปริยายค่ะ ถ้ามีโอกาสสัญจรไปแถวนั้น ลองแวะไปชมความมหัศจรรย์ต้นโพธิ์โอบล้อมโบสถ์ดูนะคะ ชาวบ้านแถวนั้นอัธยาศัยดีมาก เมื่อเห็นนักท่องเที่ยวแวะมา รู้สึกพวกเขาจะตื่นเต้นมากๆ เลยค่ะ