ใช้ชีวิต Slow life ไหว้พระหลวงพ่อใหญ่ ในเมืองพัทยา ชลบรุี


เมืองพัทยา แต่ก่อนเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อ ทางด้านสถานบันเทิงยามราตรีเป็นหลัก แต่ปัจจุบันเมืองพัทยาได้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวมากขึ้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้มาเที่ยวที่นี่ กับสถานที่ธรรมชาติที่มี และความสวยงามที่ไม่แพ้ที่ใด ซึ่งการท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ในแต่ละครั้งที่เราได้เดินทางมาที่นี่ ค่อนข้างไม่ค่อยมีความแตกต่างอะไรมากนัก นอกจากการขับรถเที่ยว แวะตรงโน่นนิดตรงนี้หน่อย และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ การทานอาหารทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นเรื่องที่ห้ามพลาดเชียวนะคะ การเดินทางครั้งนี้ของเรา ได้พาเพื่อนและครอบครัวมาเที่ยวพักผ่อนค่ะ ได้เวลาเปิดประตูบานใหม่ สู่การท่องเที่ยวในสไตล์เรา เพื่อที่จะพาทุกคนไปเที่ยวด้วยกัน 


ช่วงระยะนี้แอบเห็นกระแสการใช้ชีวิตแบบ Slow Life ว่อนไปทั่วโซเซียลเลยค่ะ จนอยากจะใช้ชีวิตติดเทรนด์แบบนี้ดูบ้าง เริ่มต้นกับการตื่นนอนกับเวลาสบายๆ และทานอาหารเช้าที่โรงแรมแบบไม่ต้องเร่งรีบ ใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามสไตล์ Slow Life จนถึงเวลาในช่วงสาย จึงได้ค่อยๆ ขับรถกินลมชมวิวทิวทัศน์ ลัดเลาะถนนพระตำหนัก มาทางด้านโรงแรมรอยัลคลิฟ ไต่ลงมาเรื่อยๆ จนเห็นท้องทะเล และท้องฟ้าสีคราม ทักทายสายตาอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนัก


ระหว่างที่ขับรถไต่ลงมาเรื่อยๆ เราเห็นร้านอาหารเล็กๆ อยู่ทางด้านซ้ายมือ ที่ติดริมทะเล เรารีบแตะเบรค เพื่อชะลอรถ พร้อมกับการหมุนพวงมาลัยเข้าลานจอดในทันที ก้าวแรกที่ลงจากรถ เราก็สามารถสัมผัสได้ถึง บรรยากาศชายทะเลอย่างแท้จริง ทั้งสายลม แสงแดด และสองเรา 555 ไม่ใช่แระ!! ออกนอกเรื่องทุกทีเลยเรา อิอิ กลิ่นอายของทะเลมันหอมกรุ่น รู้สึกสดชื่นเบิกบานเหลือเกิน นี่กระมัง!! ที่ใครต่อใครยามที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน หรือเหนื่อยกับชีวิตในบางเรื่องราว มักจะคิดถึง และต้องการมาพักผ่อนชายทะเลกัน


ทุกคนคงจะเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบเร่งรีบในชีวิตประจำวันกันใช่ไหมค่ะ เมื่อมีช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน หลายคนจะมีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกัน แต่สำหรับเรากับเวลาการพักผ่อน ที่แสนจะมีความสุข คือ การได้อยู่กับสิ่งรอบๆ ตัวที่เงียบสงบ ได้อยู่กับเวลาที่เป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง ได้นั่งคิดและทบทวนสิ่งต่างๆ และที่สำคัญการที่ได้อยู่กับความเงียบสงบนั้น เราจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองค่ะ ฮิ้วววว


เราเลือกนั่งโต๊ะไม้ชิดริมขอบทะเล เพื่อจะได้ใกล้ชิดทะเลให้มากขึ้น ท้องทะเลที่มองสุดลูกหูลูกตา สายลมที่พัดมาไม่ขาดสาย และแสงแดดอ่อนๆ ช่างอบอุ่นใจเสียเหลือเกิน นานแล้วเหมือนกัน ที่เราไม่ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศเช่นนี้ เพราะมัวแต่ยุ่งๆ และวุ่นวายกับเรื่องต่างๆ จนบางครั้งกลายเป็นคนที่หลงลืม ที่จะดูแลตัวเอง และให้รางวัลกับชีวิต มาเติมเต็มกับสิ่งที่ขาดหายไป ให้ชีวิตได้มีสีสัน และความสดชื่น ซึ่งภาพตรงหน้าในขณะนี้ ไม่ใช่แสงสีที่ถูกแต่งเติมเช่นสถานที่ในยามค่ำคืน แต่มันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้อย่างงดงาม เพียงแต่เราใส่ใจธรรมชาติมากขึ้น โลกก็จะสวยด้วยมุมของเราเอง หากไม่เชื่อลองเงยหน้าจากมือถือ แท็บเล็บ และลองเปิดโอกาสให้ตัวเอง ได้สัมผัสกับธรรมชาติมากขึ้นอีกนิด แล้วคุณจะรู้สึกถึงความโชคดีกับการมีชีวิตอยู่มากขึ้นในทุกๆ วัน


ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านเล็กๆ น่ารักๆ แต่ทำเลดีทีเดียว เนื่องจากเราหนักท้องมาตั้งแต่มื้อเช้าที่โรงแรมกันแล้ว จึงสั่งเพียงแค่เครื่องดื่มมานั่งจิบชมวิวเพียงเท่านั้น เพื่อนเลือกสั่งกาแฟร้อนมาหนึ่งแก้ว กลิ่นหอมอบอวลเคล้าบรรยากาศเลยค่ะ ดีนะที่เราได้กลิ่นกาแฟในเวลาตอนสายมากแล้ว และยามท้องไม่ว่าง ไม่เช่นนั้นคงจะมีเวียนหัวไปไหนไม่รอดแน่ๆ เมื่อกาแฟหน้าตาดีได้ถูกยกมาเสิร์ฟตรงหน้า ขอแช๊ะภาพก่อนเลย อิอิ พอเจ้าตัวเล็กได้กลิ่นแค่นั้นล่ะ ละสายตาจากหนังสือหันมาขอดื่มกาแฟบ้าง ไม่ธรรมดาจริงๆ ความสามารถเฉพาะตัว แซงหน้าเราแบบไม่เกรงใจ ฮ่าๆ


กาแฟบางครั้งก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบรนด์ดังเสมอไป แค่หาสถานที่จิบกาแฟในบรรยากาศชิลล์ๆ ก็ทำให้กาแฟแก้วนั้น สุดแสนจะพิเศษแล้วค่ะ และบางครั้งก็ไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตให้หรูหราเกินกำลังของตัวเอง เพราะสุดท้ายชีวิตของคนเราที่จะพบความสุขที่ยั่งยืนนั้น คงจะหนีไม่พ้นการใช้ชีวิตแบบพอเพียง และคงไม่มีความสุขใด เท่ากับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย พวกเราใช้เวลานั่งเล่นที่นี่อยู่นานเหมือนกัน เมื่อเรามีโอกาสได้ชะลอจังหวะชีวิตของตัวเองให้ช้าลง ก็เป็นเรื่องปกติที่เราจะมีเวลาได้อยู่ในมุมส่วนตัวมากขึ้น ความสุขเล็กน้อยระหว่างทางชีวิต ค่อยๆ เก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือหนักหนาอะไรจริงไหมค่ะ เมื่อสมควรแก่เวลาเราก็เรียกเช็คบิลเพื่อไปจุดอื่นกันต่อ และต้องอำลาบรรยากาศตรงหน้าไปอย่างน่าเสียดาย


ตลอดวันเราพาเพื่อนและครอบครัวขับรถพาทัวร์รอบเมือง มื้อเที่ยงเราจัดแบบเรียบง่ายจานเดียว แต่มื้อเย็นเราจัดหนักและจัดเต็ม มิได้เก็บภาพมาฝากนะเออ เพราะความหิวโหยจนลืมเก็บภาพ จนกระทั่งอิ่มพุงกางแระ ถึงมีสติคิดได้ ฮ่าๆ


เช้าอีกวัน ... ก่อนที่เราจะเดินทางกลับกรุงเทพ เรายังพอมีเวลาได้ใช้ชีวิตแบบ Slow Life อีกครึ่งวัน เช้านี้เราบอกให้เพื่อนทานข้าวให้เรียบร้อย และจะทำการเช็คเอ้าท์เก็บกระเป๋าออกจากโรงแรมทันที เราจะพาไปไหว้พระที่วัดพระใหญ่ ซึ่งอยู่บนเขาพระตำหนัก และอยู่ไม่ไกลนักจากที่พักนั่นเอง


วัดพระใหญ่เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดชลบุรี นามว่า "พระพุทธสุโขมัยวลัยชลธาร" หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า "หลวงพ่อใหญ่" ก่อนการเดินทางทำบุญไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนนะคะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตค่ะ


ทางเดินขึ้นไปนมัสการพระใหญ่ เป็นขั้นบันไดไม่ชันมากนัก และมีความกว้างสามารถเดินได้สะดวก และสองข้างทางของบันไดทางขึ้นจะมีพญานาค 7 เศียร ทั้ง 2 ข้าง ทอดยาวไปตลอดจนถึงบริเวณองค์พระประดิษฐานอยู่ด้านบน


ช่วงเช้าๆ ได้ออกกำลังขา และได้ออกกำลังกายไปในตัว หากมาในช่วงเที่ยงหรือบ่าย สงสัยคงได้หยุดปาดเหงื่อไปหลายรอบค่ะ ลองมองจากด้านล่างขึ้นไป สามารถมองเห็นองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่สีทองเหลืองอร่ามงดงามยิ่งนัก


วัดพระใหญ่เป็นวัดที่เราค่อนข้างมาบ่อย เพราะที่นี่แม้จะเป็นวันธรรมดา แต่ก็มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนขึ้นมากราบไหว้ และชมวิวด้านบนไม่ขาดสาย เมื่อได้เข้าใกล้องค์พระมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะสามารถสัมผัสได้ว่าองค์พระนั้นมีขนาดใหญ่จริงๆ ด้วยขนาดหน้าตักกว้างถึง 5 วา 9 นิ้ว และมีขนาดความสูงถึง 9 วา 9 นิ้ว นอกจากหลวงพ่อใหญ่แล้ว ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปประจำวันเกิดปางต่างๆ ประดิษฐานอยู่โดยรอบอีกด้วยนะคะ


วัดพระใหญ่นับได้ว่าเป็ฯอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่รู้จักกันของเมืองพัทยา เพราะมีองค์พระใหญ่สีทองเหลืองอร่ามตั้งโดดเด่นอยู่บนเขา และด้านบนยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ที่งดงามของเมืองพัทยา รอบด้านไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ และที่นี่ยังชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย จึงทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแนวแบ็คแพ๊คเกอร์ขึ้นมาเยี่ยมชมอยู่ตลอดเวลา


อย่างที่เราได้บอกไป ว่าเรามาที่นี่ค่อนข้างบ่อยมาก ในยามที่เดินทางมาเที่ยวพัทยาด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น เป็นวัดที่มีองค์พระสวยงาม มีสถานที่ร่มรื่น และการเดินทางไม่ไกลนักจากที่พัก สามารถขึ้นมากราบไหว้พระ และยังได้มาชมเมืองพัทยาได้อีกด้วย ที่นี่สำหรับเราเป็นมากกว่าวัด และเป็นมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีเหตุผลในการมาเยือนที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้รับจากการมาที่นี่ไม่เปลี่ยนแปลง คือ ความสุขและความอิ่มใจที่ได้มาชม และกราบไหว้พระที่งดงาม สดชื่นที่ได้ขึ้นมาสัมผัสกับบรรยากาศดีๆ


การใช้ชีวิตแบบ Slow Life ในเมืองพัทยาของเรา ได้บอกอะไรเราได้หลายอย่าง บางจังหวะไม่ได้บอกให้ช้ากับทุกสิ่ง แต่เป็นการสร้างสมดุลช่วงเวลาในชีวิตให้เหมาะสม อาจจะมีบ้างที่ชีวิตต้องการความเร่งด่วน แต่ถึงอย่างไร ความเร่งรีบคงไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเราเสมอไปค่ะ