ทริปนี้พามารู้จักกับวัดใต้น้ำ หรือ เมืองบาดาล ซึ่งเป็น Unseen Thailand ของอำเภอสังขละบุรี และนอกจากนั้นอำเภอสังขละบุรีก็มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะทีเดียว เพราะว่าสังขละบุรีเป็นอำเภอที่ติดต่อกับชายแดนพม่า
และตัวอำเภอสังขละบุรีก็ตั้งอยู่บริเวณลำน้ำสามสายที่มาบรรจบกัน ได้แก่
ห้วยซองกะเลีย ห้อยบีคลี่ และห้วยรันตี รวมกันเรียกว่า “สามประสบ” โดยไหลรวมกันเป็นแม่น้ำแควน้อย
และอำเภอสังขละบุรีก็เป็นอำเภอที่มีชาวมอญตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
จึงสามารถพบเห็นวิถีชีวิตและประเพณีเก่าแก่แบบดั้งเดิมของชาวมอญได้จากที่นี่ค่ะ
เส้นทางจากทองผาภูมิมาสังขละบุรีถนนค่อนข้างโค้งเยอะ
ระมัดระวังในการเดินทางกันด้วยนะคะ
ตอนนี้ขอย้อนอดีตรำลึกถึงสะพานลูกบวบกันหน่อยนะคะ หลังจากสะพานมอญ หรือ สะพานอุตตมานุสรณ์
ที่ถูกน้ำป่าซัดถล่มอย่างหนักได้พัดพาเอาตอไม้ต่างๆ ลงมาปะทะกับตอม่อ
จนทำให้ช่วงกลางของสะพานได้พังลงมาเป็นระยะทางกว่า 50 เมตร ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2556 ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ขึ้นชื่อว่ายาวที่สุดในประเทศไทย
ถึงกับขาดกลางและพังทลายลงมาท่ามกลางความเศร้าใจของชาวบ้านและนักท่องเที่ยว แต่ด้วยความศรัทธา ความสามัคคี
และความร่วมแรงร่วมใจของหลายๆ ฝ่าย ทำให้สามารถสร้างสะพานลูกบวบที่มีความยาวกว่า 300 เมตรขึ้นมาใช้ชั่วคราว โดยใช้เวลาในการสร้างสะพานไม้ไผ่แบบแพลูกบวบนี้ แล้วเสร็จภายใน 6 วันเท่านั้น กลับกลายเป็นว่าสะพานลูกบวบเป็นแม่เหล็กตัวใหม่ของสังขละบุรีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาชมภาพสะพานขาดกันอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน อิอิ
วกกลับเข้าประเด็นกันเลยดีฟ่า อิอิ นักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยววัดใต้น้ำ สามารถหาเช่าเรือได้จากบริเวณสะพานมอญนะคะ
และเวลาไปเที่ยวชมวัดใต้น้ำควรเป็นช่วงเช้าถึงช่วงสายดีที่สุดค่ะ
เพราะถ้าเป็นช่วงเที่ยงหรือช่วงบ่ายแดดจะแรงและร้อนมากๆ หากไปในช่วงเย็นก็ไม่ควรจะเย็นมากเช่นกัน
เพราะหากมืดค่ำการนั่งเรือกลับก็ค่อนข้างจะอันตราย เพราะฉะนั้นช่วงเช้าดีที่สุดค่ะ ด้วยสังขละบุรีเป็นอำเภอที่ติดต่อกับชายแดนพม่า ดังนั้น เมืองชายแดนแห่งนี้ที่ถูกรายล้อมไปด้วยธรรมชาติและขุนเขาอันเขียวขจี
มีแม่น้ำซองกาเลียไหลจากต้นกำเนิดในประเทศพม่าพาดผ่านอำเภอสังขละบุรีที่หล่อเลี้ยงผู้คนสองฟากฝั่งแม่น้ำ
และเชื่อมสัมพันธ์ชนชาติมอญทั้งสองประเทศมาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน
ระหว่างล่องเรือสามารถชมบรรยากาศสองริมฝั่งแม่น้ำได้ตลอดทาง ก็จะพบกับวิถีชีวิตของชาวมอญ
และนอกจากนั้นยังสามารถมองเห็นยอดเจดีย์พุทธคยาระหว่างการล่องเรืออีกด้วยนะคะ
หากใครมีโอกาสได้มาสัมผัสกับความงดงามที่แฝงไปด้วยมนต์เสน่ห์ของความมหัศจรรย์นี้
ที่ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์แล้ว
จะพบว่าสถานที่แห่งนี้มีเสน่ห์ในตัวที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างก็เดินทางมาชมกันไม่ขาดสาย
เมื่อเรือเทียบฝั่งก็จะมีมัคคุเทศก์ตัวน้อยชาวมอญคอยให้การต้อนรับพร้อมกับอธิบายความเป็นมา
และขายดอกไม้ พร้อมพาไปชมสถานที่ต่างๆ ค่ะ
วัดใต้น้ำ
หรือในอดีตคือ วัดวังก์วิเวการาม
ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็น Unseen Thailand เพราะมีความแปลกที่มีซากโบราณสถานจมอยู่ใต้น้ำ
เป็นสถานที่เล่าขานในตำนานความเป็นมาของวัดหลวงพ่ออุตตมะ จนมีหลายคนเรียกกันว่า “เมืองบาดาล” ซึ่งเมืองบาดาลในอดีตเป็นวัดวังก์เวการามที่หลวงพ่ออุตตมะ
ชาวกะเหรี่ยง และชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2496 ที่บ้านวังกะล่าง
อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้กับชายแดนไทย – พม่า ในบริเวณที่เรียกว่า “สามประสบ” ที่เป็นจุดแม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน ได้มีการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือ
เขื่อนวชิราลงกรณ์ เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่า
รวมทั้งวัดวังก์วิเวการามด้วย
ทางการจึงได้อพยพชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบออกจากบริเวณที่น้ำท่วม
และย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขาทางด้านฝั่งตะวันตกของลำน้ำแควน้อยแทน ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานานหลายสิบปีค่ะ
มัคคุเทศก์ตัวน้อยก็จะชี้ชวนให้ดูซากเก่าๆ
ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ไปพร้อมกับการอธิบายว่าตรงนั้นเอาไว้ใช้ทำอะไร
ตรงนี้คืออะไร จนมาเจอกับภาพถ่ายของหลวงพ่ออุตตมะที่ตั้งอยู่ด้านในให้ชาวบ้านและประชาชนทั่วไปได้สักการะด้วยนะคะ
ดอกไม้ธูปเทียนสามารถหาซื้อได้จากเด็กๆ และชาวบ้านละแวกนั้นได้เลยค่ะ มัคคุเทศก์น้อยได้พาเราเดินเข้ามาอีกนิดก็จะเป็นอุโบสถหลังเก่าที่เป็นอาคารสี่เหลี่ยม
เห็นช่องประตูหน้าต่างชัดเจน ซุ้มประตูทางเข้าโบสถ์ก็ยังคงมีเค้าโครงให้เห็นอยู่บ้าง
ซากปรักหักพังของวัดที่ยังหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน ได้แก่ หอระฆัง
ที่เหลือเพียงโครงสร้างกับเจดีย์สีขาว ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวของวัดที่ไม่ถูกน้ำท่วมในยามน้ำเต็มเขื่อน
หากใครมาเที่ยวในช่วงหน้าร้อน
ตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม – พฤษภาคม
จะเป็นช่วงหน้าแล้งน้ำหลังเขื่อนจะลดลงเป็นจำนวนมาก
จนสามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมโบสถ์เก่าได้ ส่วนคนที่มาเที่ยวในช่วงปลายฝนต้นหนาวตั้งแต่ประมาณตุลาคม
– มกราคม อาจจะได้เห็นแค่บางส่วนของตัวโบสถ์ที่โผล่พ้นน้ำเท่านั้นนะคะ
หรือบางทีก็อาจจะจมน้ำเป็นเมืองบาดาลเลยก็เป็นได้
จะมีให้เห็นก็เพียงแต่ยอดหอระฆังเดิมเท่านั้นที่สูงพ้นน้ำค่ะ
จากที่เราเล่ามาอาจจะไม่สามารถบรรยายได้ทั้งหมด
ถ้าอยากรู้ว่าที่นี่จะอันซีนขนาดไหน
คงต้องลองไปเที่ยวชมพิสูจน์เมืองบาดาลด้วยตาของตัวเองกันสักครั้งนะคะ
ช่วงหน้าหนาวหรือหลังหน้าฝนการชมวัดใต้น้ำทำได้เพียงล่องเรือไปในบริเวณใกล้กับโบสถ์
ซึ่งอาจจะเห็นเพียงผนังโบสถ์บางส่วนที่โผล่พ้นน้ำ หรือในหน้าน้ำมากๆ
ก็อาจจะไม่เห็นเลย
แต่ก็มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบางคนยังเคยมาจัดทริปดำน้ำเพื่อดูโบสถ์ใต้น้ำก็มีนะคะ ใครอยากได้บรรยากาศแบบไหน ก็จัดช่วงมาให้ถูกต้องนะเออ อิอิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น