โรงเรียนการเมืองการทหาร ภูหินร่องกล้า พิษณุโลก


โรงเรียนการเมืองการทหาร ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งเมื่อในอดีตเคยเป็นโรงเรียน และฐานที่ตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาก่อน ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสมรภูมิแห่งความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายรัฐบาล กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เนื่องด้วยลักษณะภูมิประเทศของภูหินร่องกล้า ที่ประกอบไปด้วยแนวหินอันสลับซับซ้อน และมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์เลือกใช้สถานที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่นใหญ่ ภายหลังความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ได้สิ้นสุดลง ภูหินร่องกล้าก็ได้รับการจัดตั้งให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2526


ด้านหน้าก่อนที่เราจะเดินเข้าไปด้านในนั้น มีนิทรรศการบอกเล่าเรื่องราว และประวัติความเป็นมาให้เราได้ทราบข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองของคนตุลา อย่างโรงเรียนการเมืองการทหารค่ะ ซึ่งความขัดแย้งในการสู้รบ ไม่ปรากฏผลแพ้หรือชนะแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายแล้วฝ่ายรัฐบาลได้ออกมาประกาศ เปิดให้เหล่านักศึกษาและประชาชนที่หลบหนีเข้าป่า กลับคืนสู่เมืองเพื่อมาช่วยกันพัฒนาประเทศชาติ ซึ่งปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นตำนานให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป


จากดินแดนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของการสู้รบ ของกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นต่างทางการเมือง ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนี้จะกลับกลายเป็นเส้นทาง ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ทางการเมือง ที่ควบคู่กับความงดงามทางธรรมชาติไปได้ ซึ่งโรงเรียนการเมืองการทหารอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ประมาณ 6 กิโลเมตร บริเวณดังกล่าวเป็นป่าทึบที่หนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย ที่ขึ้นปกคลุมไปทั่วบริเวณทำให้บรรยากาศร่มรื่นและเย็นสบายค่ะ


โรงเรียนการเมืองการทหาร ปัจจุบันเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญ ของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชม ร่องรอยประวัติศาสตร์อยู่ไม่ขาดสาย ภายในบริเวณมีลักษณะเป็นอาคารไม้รวมทั้งหมด 31 หลัง ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้กลมกลืนเมื่ออยู่ในผืนป่า มีเพียงแคร่สำหรับนอน และโต๊ะเขียนหนังสือเท่านั้น โดยบริเวณหน้าบ้านของแต่ละหลัง จะมีป้ายบอกข้อมูลไว้อย่างชัดเจน ว่าบ้านหลังนั้นไว้ทำอะไร หรือเป็นที่พักของใคร 


บ้านแต่ละหลังเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่ปลูกกระจายทั่วบริเวณอย่างเป็นระเบียบ วัสดุที่ใช้สร้างบ้านแต่ละหลังนั้น จะมีทั้งบ้านที่ใช้ไม้เนื้อแข็ง และบ้านที่ใช้ปีกไม้มาซ้อนทับกันเป็นฝาผนังค่ะ แต่ปัจจุบันบ้านบางหลังได้ผุพังไปตามกาลเวลา เพราะถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เป็นเวลานานหลายสิบปี ภายหลังจากที่มวลชนได้เข้ามอบตัวแล้ว ส่วนบริเวณตอนกลางของโรงเรียนการเมืองการทหาร มีรถแทรกเตอร์ 1 คัน ที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ได้ทำการยึดมาจากบริษัท พิฆเนตร 


โรงเรียนการเมืองการทหาร ด้วยสภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทั่วบริเวณ จึงทำให้เกิดร่มเงาและเย็นสบาย ทำให้มีความชื้นอยู่มากทีเดียว ตามต้นไม้ ก้อนหิน หรือแม้แต่หลังคาบ้านจึงเกิดมอสขึ้นกระจายเป็นพรมสีเขียวชอุ่ม ปกคลุมก้อนหินเกือบทั้งก้อนสวยงามมากๆ ค่ะ ซึ่งเราเชื่อว่าใครที่มาพบเจอ เป็นต้องถ่ายภาพเก็บไว้อย่างแน่นอน แต่ในความสวยเหล่านั้น ก็แอบวังเวงอยู่เหมือนกันนะเออ เพราะเราเดินเข้ามาเพียงคนเดียว กำลังยืนงงในดงประวัติศาสตร์ทางการเมืองค่ะ ฮ่าๆ


จุดเด่นของที่นี่ นอกเหนือจากการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ คือการได้มาชมความสวยงามของต้นเมเปิ้ล ที่ออกใบสีแดงพันธุ์ใบสามแฉก เวลาร่วงหล่นจากต้นลงมาสู่พื้นดิน ก้อนหิน หรือบนหลังคา สีแดงของใบเมเปิ้ลตัดกลับมอสสีเขียว มันช่างสวยงามและน่าหลงใหลมากเลยรู้ไหม ซึ่งต้นเมเปิ้ลจะออกใบสีแดงช่วงประมาณมกราคม - กุมภาพันธ์ ขึ้นอยู่สภาพอากาศหนาวเย็นด้วยนะเออ ส่วนช่วงเวลาที่เรามาเยือนที่นี่เป็นเดือนธันวาคม คงจะเจอหรอกเนอะ ไม่มีใบเมเปิ้ลสีแดง มีเพียงนางแบบใส่เสื้อแดงแทนกันได้หรือป่าวไม่รู้ ฮ่าๆ ไว้โอกาสหน้าค่อยไปแก้ตัวใหม่ อิอิ