วัดพนัญเชิงวรวิหาร หลวงพ่อโต (ซำปอกง) พระนครศรีอยุธยา


วัดพนัญเชิงวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้น ตั้งแต่สมัยก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี และได้รับการรักษาบูรณะมาเป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน ภายในพระอุโบสถของวัดพนัญเชิง เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอยุธยา ที่ได้รับความเคารพบูชาทั้งในหมู่คนไทย และคนจีนมาอย่างยาวนาน เราเชื่อว่าไม่มีชาวอยุธยาคนไหนที่ไม่รู้จัก หรือแม้แต่คนไทยในจังหวัดต่างๆ จะไม่เคยได้ยินชื่อเสียง ซึ่งหลวงพ่อโตได้รับพระราชทานนามใหม่ จากในหลวงรัชกาลที่ 4 ว่า "พระพุทธไตรรัตนนายก"


เป็นอีกหนึ่งวัดที่เราไม่เคยพลาดเลย เวลาที่เดินทางมาอยุธยาค่ะ เพราะวัดนี้เป็นวัดใหญ่ และเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของอยุธยา ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ เมื่อมาถึงวัดแห่งนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องพบเจอผู้คนจำนวนมาก ที่แวะเวียนมานมัสการหลวงพ่อโตกันอย่างเนืองแน่น แต่ที่นี่มีสถานที่จอดรถ สำหรับผู้มีจิตศรัทธา และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ไม่ว่าจะเดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือว่ารถบัสนำเที่ยว ก็มีที่จอดรถเพียงพอค่ะ หากต้องการหลีกเลี่ยงผู้คน ขอแนะนำให้มาในช่วงเช้า เพราะคนจะไม่เยอะ สามารถเข้าไปสักการะหลวงพ่อโตได้ไม่ลำบากมากนัก แต่ถ้ามาในช่วงบ่ายหรือเย็น คนจะเยอะและเนืองแน่นมากๆ ค่ะ


เมื่อจุดธูปเทียนกราบไหว้ด้านนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เดินเข้ามาภายในพระอุโบสถ ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีก 3 องค์นะคะ ได้แก่ พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปนาค และพระพุทธรูปปูนปั้น ที่มีลักษณะงดงามมาก ถูกประดิษฐานอยู่บริเวณหน้าโบสถ์ หน้าวิหารหลวงพ่อโต เมื่อเข้าไปก็จะเห็นพระพุทธรูปเรียงกัน เป็นประธานของโบสถ์รวมกันสามองค์ องค์ซ้ายเป็นพระพุทธรูปทองคำในสมัยสุโขทัย ทำด้วยทองสำริด หน้าตักกว้าง 3 ศอก สูง 4 ศอก องค์กลางเป็นพระปูนปั้นในสมัยอยุธยา ส่วนองค์ขวามือเป็นพระพุทธรูปในสมัยสุโขทัยทำด้วยนาค หน้าตักกว้าง 3 ศอก สูง 5 ศอก พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ล้วนเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์


พระพุทธรูปไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต หรือ ชาวจีนที่นิยมเรียกว่า "ซำปอกง" เป็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานในพระวิหาร ของวัดพนัญเชิงวรวิหาร ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1867 ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลังใหญ่ ที่ถูกสร้างคลุมไว้ในภายหลัง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ที่มีอายุมากที่สุด เป็นศิลปะแบบอู่ทองสมัยตอนปลาย และนับว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยา ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ โดยเบื้องหน้ามีตาลปัตร หรือ พัดยศ และมีพระอัครสาวกที่ทำด้วยปูนปั้นลงรักปิดทอง ประดิษฐานอยู่เบื้องซ้ายและเบื้องขวาค่ะ


วัดพนัญเชิงวรวิหาร บริเวณวัดจะติดริมแม่น้ำ ทำให้มีบรรยากาศร่มรื่น เย็นสบาย นอกจากจะได้กราบไหว้เคารพสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเหมาะแก่การพักผ่อน และมาท่องเที่ยวอีกด้วยนะคะ นอกเหนือจากการกราบไหว้หลวงพ่อโตแล้ว ภายในวัดพนัญเชิงยังมีสถานที่ที่น่าสนใจ ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้กราบไหว้อีกมากมายนัก โดยเดินถัดเข้าไปทางริมแม่น้ำด้านข้างจะมีวิหารเทพเจ้าต่างๆ มากมาย อาทิเช่น วิหารไฉ่ซิ่งเอี๊ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ เจ้าแม่กวนอิม เทพเจ้ากวนอู เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ฯลฯ ที่คนไทยเชื้อสายจีนนิยมเดินทางมาขอพรกันทุกปีค่ะ


ใกล้กับวิหารเซียน ยังมีตำหนักพระนางสร้อยดอกหมาก หรือ ศาลเจ้าแม่จู๊แซเนี๊ย ที่มีลักษณะคล้ายศาลเจ้าจีน สร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีนทั้งหลัง ตั้งอยู่ทางด้านข้าง หันหน้าไปทางแม่น้ำ ภายในประดิษฐานรูปหล่อ ของพระนางสร้อยดอกหมาก ที่มีขนาดเล็กเท่ากับตุ๊กตา ในเครื่องแต่งกายแบบจีน ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวจีนทั่วไป เชื่อกันว่าพระแม่สร้อยดอกหมากมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ซึ่งมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับประวัติ ของเจ้าแม่สร้อยดอกหมากกันมาว่า ...


พระเจ้ากรุงจีนได้พระราชทานนางสร้อยดอกหมาก ซึ่งเป็นพระธิดาบุญธรรม ให้กับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ขณะที่พระองค์เสด็จกรุงจีน เมื่อกลับมายังอยุธยาแล้ว พระนางสร้อยดอกหมากรออยู่ในเรือ และพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็มีพระราชกิจมากมาย จึงโปรดให้เสนาอำมาตย์ไปเชิญพระนางขึ้นจากเรือ แต่พระนางไม่ยอมขึ้นท่า เพราะทรงต้องการให้พระเจ้าสายน้ำผึ้ง เสด็จมารับด้วยพระองค์เอง พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงตรัสหยอกเล่นว่า ถ้าไม่ขึ้นก็อยู่ในเรือไปก็แล้วกัน พระนางทรงน้อยใจจึงกลั้นใจตาย พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงโศกเศร้าเป็นอย่างมาก จึงได้สร้างวัดไว้ริมฝั่งที่พระนางสร้อยดอกหมากได้กลั้นใจตาย และให้ชื่อว่าวัดพระนางเชิญ พระทั่งเพี้ยนมาเป็นวัดพนัญเชิงจนมาถึงในปัจจุบันค่ะ


ด้วยวัดพนัญเชิงเคยได้รับความเสียหาย ในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอด ทำให้วัดพนัญเชิงอยู่ในสภาพดีมาจนถึงปัจจุบัน และมีสถานะเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ผู้ที่สนใจจะเดินทางมาสักการะกราบไหว้หลวงพ่อโต องค์พระที่มีขนาดใหญ่สมชื่อ ที่ลงรักปิดทองอย่างงดงาม สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 07.00 - 18.00 น. นะคะ ซึ่งแต่ก่อนจะมีการถวายผ้าห่มหลวงพ่อ ที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว เปลี่ยนมาเป็นถวายด้านหน้าแทนค่ะ เพื่อความเหมาะสม