ครัวแปดริ้ว ทองผาภูมิ กาญจนบุรี


ครัวแปดริ้ว ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานก่อนเข้าตลาดทองผาภูมิ ทำเลดีเพราะอยู่ติดสะพานริมแม่น้ำแควน้อย สามารถมองเห็นหมอกที่ปกคลุมภูเขาอยู่ไม่ไกล เมนูทางร้านมีหลากหลายทั้งอาหารป่า และอาหารพื้นบ้าน อาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ต้องยกให้กับเมนูอาหารปลา และผักพื้นบ้านอย่างผักกูดค่ะ เราสั่งยำผักกูดมาทาน รสชาติอร่อยใช้ได้ ผักสดกรอบไม่เหนียว ส่วนเมนูปลามีหลายเมนูเลยค่ะที่เราสั่งมาทาน เช่น ปลาทอดแดดเดียว ลูกชิ้นปลา ทอดมันปลา ปลารากกล้วยทอดกระเทียม นอกจากนั้นยังสั่งหมูป่าผัดเผ็ดมาทานด้วยนะคะ มาถึงถิ่นกันแล้วต้องทานอาหารพื้นเมืองกันหน่อยค่ะ สำหรับใครที่จะเดินทางไปสังขละบุรี ระหว่างทางแวะมาทานอาหารที่นี่ได้นะคะ บรรยากาศร้านกว้างขวาง มีสถานที่จอดรถสะดวกสบายค่ะ

เบอร์โทรศัพท์    034 - 599780  ,  089 - 5461079
เวลาเปิดทำการ  09.00 - 20.00 น.
สถานที่ตั้ง  เชิงสะพานก่อนเข้าตลาดทองผาภูมิ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี


ครัวยายปี อาหารป่า หนองจอก


ครัวยายปี หนองจอก เป็นร้านอาหารตามสั่ง เน้นอาหารป่า เช่น กบ หมูป่า ปลาบึก ปลาคัง ปลาเนื้ออ่อน เก้ง ปลาช่อน หนูนา ฯลฯ ราคาไม่แพงนัก เมื่อเทียบกับปริมาณที่ได้ และรสชาติที่อร่อยถูกปาก แถมบรรยากาศดี เพราะปลูกร้านยื่นไปกลางบ่อน้ำ ลมเย็นสบาย เหมาะสำหรับทุกโอกาส ไม่ว่าจะมาทานกับเพื่อน ครอบครัว หรือคอเหล้า เพราะรสชาติของทางร้านจัดจ้านถึงใจค่ะ


ส่วนเมนูเด็ดต้องยกให้เมนูกบ ไม่ว่าจะเป็นแกงเหลืองกบ หรือกบทอดกระเทียม สังเกตได้จากเมนูที่เรารีวิวสิค่ะ สั่งเบิ้ลแบบไม่เกรงใจใครเลย ฮ่าๆ น่องกบชิ้นโตๆ น้ำแกงเหลืองเผ็ดถึงใจ หอมเครื่องแกงที่เป็นเอกลักษณ์ของทางร้าน ส่วนเนื้อแดดเดียวนุ่ม ไม่เหนียวเหมือนร้านอื่นๆ นะคะ ปลาช่อนแดดเดียวรสชาติกลมกล่อม แม้ว่าร้านจะอยู่ไกลไปเสียหน่อย แต่ก็คุ้มค่าต่อการเดินทาง มาทานบ่อยจนสนิทสนมกับทางร้านแล้วค่ะ แต่ที่นี่เสียอย่างเดียว คือ ต้องบริการตัวเองในทุกๆ เรื่องนะคะ เช่น ต้องหยิบจาน ช้อน ส้อม แก้วน้ำ น้ำดื่ม และน้ำแข็งเอง ... นะจะบอกให้

เบอร์โทรศัพท์    089 - 1107538
เวลาเปิดทำการ  10.00 - 22.00 น.
สถานที่ตั้ง  ถนนร่วมพัฒนา แขวงลำต้อยติ่ง เขตหนองจอก กรุงเทพฯ


เรือนวัฒนา เกาะสีชัง ชลบุรี


เรือนวัฒนา เกาะสีชัง เป็นเรือนที่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 5 ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระคลัง เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้ป่วย ที่เดินทางมารักษาตัวที่เกาะสีชัง ที่เรียกกันว่า "อาไศรยสถาน" เมื่อการก่อสร้างอาไศรยสถานแล้วเสร็จ ในปีพุทธศักราช 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนิน มาทำพิธีฉลองอาไศรยสถานแห่งนี้ โดยมีพิธีสวดมนต์ และถวายภัตตาหารพระสงฆ์ 


รวมถึงทรงได้พระราชทานชื่อเรือนแห่งนี้ว่า "เรือนวัฒนา" ตามพระนามสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ที่ทรงบริจาคทรัพย์ในการจัดซื้อเครื่องตกแต่งสำหรับเรือนแห่งนี้ โดยลักษณะเรือนวัฒนา เป็นอาคาร 2 ชั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เรือนเป็นสีขาว ตัวอาคารทำด้วยปูน หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องเกล็ดเต่า ตามลักษณะสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้น


บันไดก่ออิฐถือปูน ส่วนขั้นบันไดทำด้วยหินทราย ส่วนพื้นบันได ประตู หน้าต่าง เพดาน และโครงหลังคาทำด้วยไม้สัก ด้านทิศใต้มีประตูชั้นล่าง 3 บาน หน้าต่าง 3 บาน ส่วนชั้นบนมีประตู 3 บาน หน้าต่าง 3 บานเช่นเดียวกัน โดยมีแนวตรงกัน ส่วนด้านหัวท้ายมีหน้าต่างขั้นบน 2 บาน ชั้นล่าง 2 บาน แนวตรงกัน ชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่ มีห้องบันได 1 ห้อง และห้องเล็กห้างบันไดอีก 1 ห้อง ส่วนชั้นบนแปลนเหมือนชั้นล่างค่ะ 


ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการ เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นบนเกาะสีชัง เช่น การพระราชทาน สิ่งของแก่ราษฎร  การฉลองสิ่งที่ปลูกสร้างขึ้นที่เกาะสีชัง  การก่อพระฤกษ์รากพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์  การแห่เจ้าขึ้นศาล  การเปิดโรงเรียนเสาวภา  การไหว้ครูรำอาวุธ  การฉลองพระพุทธบาทที่เกาะสีชัง การบำเพ็ญพระราชกุศลวันวิหาขะบุรณมี  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าวชิรุณหิศ สยามมงกุฏราชกุมาร เสด็จประพาสบนเกาะสีชัง การแสดงพิพิธภัณฑ์  ราชทูตเยอรมันเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เป็นต้น


ตัวอาคารด้านบนมีเฉลียงแล่นตลอดความยาวของเรือน ด้านหน้าซึ่งเป็นทางทิศใต้ จะหันหน้าสู่ท้องทะเล มีเฉลียงยาวตลอดทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีลูกกรงไม้กันตก รูปแบบเรียบง่าย แต่ดูแข็งแรงมั่นคง ไม่มีการตกแต่งสิ่งของเกินความจำเป็น ทำให้ดูโล่งโปร่งสบาย ประกอบกับบรรยากาศที่เงียบสงบ ทำให้เกิดความเพลิดเพลินในการชมนิทรรศการเป็นอย่างมากค่ะ


เกาะสีชัง เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงมานานจนถึงปัจจุบัน ที่ยังคงมีธรรมชาติที่สวยงาม มีบรรยากาศที่เงียบสงบ เป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยวในบรรยากาศแบบท้องถิ่น ที่อยู่ไม่ไกลมากจากกรุงเทพฯ การเดินทางสะดวกสบาย สามารถท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริป หรือจะพักค้างคืนก็ได้ ที่สำคัญเกาะสีชังยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกด้วย เพราะเป็นสถานที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินถึง 3 รัชกาล คือ รัชกาลที่ 4 , รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 สำหรับบล็อกนี้เราได้นำเสนอเรือนวัฒนา ที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 ไว้เราจะค่อยๆ มาเขียนเรื่องราวอื่นๆ บนเกาะสีชังมาฝากในโอกาสต่อไปนะคะ


วัดศรีชุม อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย


วัดศรีชุม เป็นศาสนโบราณสถานในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งอยู่ภายนอกกำแพงเมือง ในตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมาวิชัย องค์ใหญ่ที่มีนามว่า "พระอจนะ" ที่เป็นที่เลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ มีมนต์เสน่ห์และเอกลักษณ์ ที่ชวนให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างแวะเวียนมาสักการะอย่างไม่ขาดสาย
         

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของวัดศรีชุม ก็คือ พระวิหารเก่าแก่ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยม ลักษณะคล้ายกับมณฑป ไม่มีหลังคาปกคลุม เพราะได้พังทลายลงไปหมดแล้วตามกาลเวลา มีเพียงการสันนิษฐานกันว่า หลังคานั้นมีลักษณะเป็นรูปโค้งคล้ายโดม แต่ปัจจุบันไม่มีหลังคา จึงเหลือเพียงผนังรอบล้อมทั้ง 4 ด้าน ไม่มีหน้าต่าง มีการก่ออิฐถือปูนอย่างมั่นคงแข็งแรง บริเวณโดยล้อมพระวิหาร ถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่เขียวขจีไปทั่วบริเวณ 


ดูจากลักษณะภายนอกของวัดศรีชุม คล้ายกับว่าเป็นเพียงวัดเก่าแก่ธรรมดา แต่อันที่จริงแล้ว การก่อสร้างวิหารแห่งนี้ มีความแยบยลและซับซ้อนเป็นอันมาก เพราะผนังด้านทิศใต้มีช่องอุโมงค์ เดินเข้าไปด้านใน และมีบันไดแคบๆ ที่สามารถเดินขึ้นไปด้านข้างขององค์พระอจนะได้ หากลองพูดเสียงดังๆ เสียงของเราก็จะดังก้องกังวานอยู่ภายในวิหาร จึงเสมือนว่าเป็นเสียงมาจากพระพุทธรูป จึงเป็นที่มาของตำนานที่เล่าขานต่อๆ กันมา ว่าพระอจนะสามารถพูดได้ เมื่อในอดีตครั้งยามมีศึกสงคราม จึงเป็นกุศโลบายในการปลุกขวัญกำลังใจแก่ทหารในการออกศึกค่ะ


"พระอจนะ" มีผู้ให้ความหมายว่า หมายถึง คำในภาษาบาลี "อจละ" ซึ่งแปลว่า "ผู้ไม่หวั่นไหว มั่นคง" "ผู้ที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้" พระอจนะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ เป็นพระประธานองค์ใหญ่ที่อยู่ภายในพระวิหารหรือมณฑป ใช้วัสดุปูนปั้น แกนในก่ออิฐและศิลาแลง มีหน้าตักกว้าง 11.30 เมตร มีความสูง 15 เมตร เป็นศิลปะแบบสุโขทัยค่ะ


พระอาจนะ เป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดองค์ใหญ่เต็มพระวิหาร ทำให้เมื่อเข้าไปด้านในค่อนข้างมีความคับแคบ แต่ในความคับแคบของพระวิหาร กับสร้างให้พระอจนะมีความโดดเด่นได้อย่างน่าทึ่ง พระประธานองค์นี้จึงเป็นไฮไลท์สำคัญ ของวัดศรีชุมเชียวนะคะ และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมรดกโลกอย่างสุโขทัยอีกด้วยค่ะ พระอาจนะค่อนข้างจะมีความยากลำบาก ในการเก็บภาพพอสมควร ต้องใช้เลนส์ไวด์เท่านั้น จึงจะสามารถเก็บภาพองค์พระได้ทั้งหมด ต้องมีเทคนิคในการถ่ายภาพกันหน่อยค่ะ อิอิ