ทุ่งโปรงทอง Unseen เมืองแกลง จังหวัดระยอง



ทุ่งโปรงทอง  เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ และเป็นไฮไลท์สำคัญของจังหวัดระยอง  รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องระบบนิเวศน์ของป่าชายเลน  ตั้งอยู่ในเขตชุมชนบ้านแสมภู่ ปากน้ำประแส อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ทำให้นักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนที่นี่ จะได้ทั้งความรู้และได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติป่าโกงกางและทุ่งโปรงทองได้อย่างใกล้ชิด  และยังมีจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปในมุมกว้าง 360 องศาอีกด้วย  




ทุ่งโปรงทอง เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 6.00 – 18.00 น.  โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม ทางเข้าไปทุ่งโปรงทองต้องผ่านซอยค่อนข้างแคบ ควรจอดรถไว้ด้านนอกที่เป็นลานจอดรถแล้วค่อยเดินเข้าไปจะสะดวกกว่า หรืออาจจะเหมารถเล็กของชาวบ้านเข้าไปก็ได้นะคะ ก่อนที่เราจะข้ามสะพานที่ทอดตัวยาวเข้าไปด้านในนั้น จะเห็นเรือของชาวบ้านจอดอยู่เรียงราย เพราะที่นี่ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะประกอบอาชีพประมง และเป็นเรือนำเที่ยวชมธรรมชาติและชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืนค่ะ




เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติแห่งนี้ เป็นสะพานไม้ระแนงทอดยาวประมาณ  2  กิโลเมตร ผ่านป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ ที่เต็มไปด้วยต้นโกงกางที่มีความสูงชะลูดปกคลุมทางเดินให้ร่มรื่นคล้ายกับอุโมงค์ แม้จะมีแสงแดดยังไงก็ไม่ร้อนค่ะ แต่หากพ้นจากป่าโกงกางตรงจุดนี้ออกไปจนทะลุถึงทุ่งโปรงทองจะไม่มีร่มเงาจากต้นไม้สูงแล้วนะคะ ในวันที่อากาศร้อนควรจะพกร่มหรือหมวกไปด้วยนะเออ นอกจากที่นี่จะมีต้นโปรงทองแล้ว ยังมีพันธุ์ไม้ชายเลนอื่นๆ มากมาย ทั้งโกงกาง โปรงแดง ลำพู  ตะบูนดำ ต้นแสม ฯลฯ ให้เราได้เรียนรู้ธรรมชาติกันอย่างเต็มที่ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการมาเยือนที่นี่ ต้องมาช่วงเช้าและช่วงบ่ายแก่ๆ เนื่องจากอากาศไม่ร้อนมาก และเป็นช่วงที่แสงแดดส่องมากระทบกับใบต้นโปรงเป็นสีเขียวอมเหลืองอร่ามไปทั่วบริเวณ 




สะพานบางจุดชำรุดไม่ค่อยแรงแข็งมากนัก ควรเดินด้วยความระมัดระวังนะคะ และตลอดเส้นทางเดินเราคอนเฟิร์มว่าสวยงามตลอดทางค่ะ สามารถแวะถ่ายภาพแทบจะทุกจุด ชอบมุมไหนก็แวะโพสท่าในสไตล์ของตัวเอง  ถ่ายรูปสวยๆ พร้อมอัพโหลดขึ้นใน Social Network แชร์ไปที่เฟสบุ๊ค อินสแกรม หรือบล็อกต่างๆ  เพื่อมาโชว์ให้เพื่อนๆ ได้อิจฉาเล่น อิอิ ซึ่งบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยต้นโปรงที่ขึ้นเรียงรายนับหมื่นต้น มองไปทางไหนก็สุดลูกหูลูกตา  โดยเฉพาะยามเช้าและยามเย็นที่มีแสงพระอาทิตย์อ่อนๆ ส่องลงมาที่ทุ่งแห่งนี้ จะสะท้อนใบของต้นโปรงให้กลายเป็นสีเหลืองทองอย่างสวยงาม ให้นักท่องเที่ยวได้เดินถ่ายภาพกับทุ่งแห่งนี้กันอย่างสนุกสนาน 




ตรงจุดชมวิวกลางทุ่งต้นโปรงนี้ ถือว่าเป็น Land mark ที่ใครมาถึงจะต้องแวะถ่ายภาพ ณ จุดนี้กันนานสองนาน เนื่องจากตรงนี้สามารถเห็นวิวได้รอบทิศทาง เสมือนเราถูกโอบล้อมไปด้วยทุ่งโปรงสีทอง เราก็แวะเก็บภาพจุดนี้อยู่นานเหมือนกัน จัดไปหลายท่า เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง อิอิ สุดท้ายนี้เราจะบอกว่า ... ที่นี่ไม่อนุญาตให้นำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาทานยังบริเวณเส้นทางเดินชมธรรมชาตินะคะ และห้ามทิ้งขยะในป่าชายเลนโดยเด็ดขาด คนละไม้คนละมือช่วยกันรักษาธรรมชาติให้คงสภาพความสวยงามเช่นนี้มากที่สุด เพื่อเป็นมรดกแก่ลูกหลานในอนาคตวันข้างหน้าค่ะ สำหรับทริปนี้ ... เราขอจบเพียงเท่านี้ก่อนน๊าา ไว้จะพาเที่ยวต่อในสถานที่ต่างๆ ค่าา


อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส อำเภอแกลง ระยอง



จังหวัดระยองเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย เป็นอีกหนึ่งจังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพฯ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวมากมายเช่นกัน ทั้งชายทะเล ป่าชายเลน และแม่น้ำ ฯลฯ  ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์เป็นธรรมชาติ  ถือเป็นเมืองที่ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ  แต่น่าเสียดายที่ทริปนี้ของเรา จังหวัดระยองเป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น แต่เราจะไม่ปล่อยให้ผ่านเลยไปอย่างน่าเสียดายหรอกนะคะ ซึ่งจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเราสำหรับทริปนี้อยู่ที่จังหวัดตราดค่ะ ดังนั้น เราจึงขับรถออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังไม่สว่าง กะมาฟ้าสร่างที่จังหวัดระยองนี่แหละ 




เรามาถึงจังหวัดระยองประมาณ 7 โมงเช้า โดยการขับรถชมบ้านเรือนและวิถีชีวิตของชาวบ้านระยองเข้ามาเรื่อยๆ จนเจอป้ายอนุสรณ์สถานเรือรบหลวงประแส เมื่อเราไม่มีจุดหมายป้ายทางสำหรับการท่องเที่ยวที่นี่ จึงขับรถตามป้ายนี้จนมาพบกับท้องทะเล  จึงจอดรถลงมาสูดอากาศบริสุทธิ์พร้อมนั่งรับแสงแดดอ่อนๆ เป็นการฆ่าเวลา แถวนี้เหมาะสำหรับการออกกำลังกายค่ะ มีชาวบ้านสูงอายุหลายคนนั่งจับกลุ่มเสวนากันอยู่ เราเลยเข้าไปถามว่าแถวนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง ลุงๆ ช่วยกันแนะนำใหญ่เลยว่า ให้ไปชมเรือรบหลวงประแสก่อนนะหลาน แล้วค่อยไปเดินสะพานชมธรรมชาติป่าโกงกางที่สามารถไปบรรจบที่ทุ่งโปรงทอง เมื่อได้ฟังอย่างนั้นแล้ว เราก็กล่าวขอบคุณทุกๆ คน ก่อนจะเดินทางไปตามโปรแกรมที่จัดขึ้นมาหมาดๆ 




อนุสรณ์เรือรบหลวงประแสมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ราชนาวีไทย ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่ชายหาดประแสบริเวณหัวโขด  จริงๆ แล้วเรือหลวงประแสลำนี้เป็นลำที่ 2 ที่ได้ถูกนำมาทดแทนเรือหลวงประแสลำที่ 1 ซึ่งได้สูญเสียไปในสงครามเกาหลี  ส่วนเรือรบหลวงประแสลำที่ 2 ลำนี้มีประวัติในการปฏิบัติภารกิจมากมาย รวมทั้งหมด 32 ครั้ง เป็นเวลานานถึง 2 ปีกว่า  ก่อนจะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย  มาเป็นกำลังหลักในการต่อต้านภัยคุกคามทางทะเล ในช่วงการรุกของคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรอินโดจีน จนกระทั่งได้ปลดระวางเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2543  ภายหลังการปลดระวางทางเทศบาลตำบลปากน้ำประแสได้ประสานกับกองทัพเรือ  เพื่อสร้างอนุสรณ์เรือหลวงประแสขึ้นที่ปากน้ำประแส  ซึ่งแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2546  ได้เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ และสามารถขึ้นไปสัมผัสบนเรือลำนี้ได้อย่างใกล้ชิดแทบจะทุกซอกทุกมุม  ปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของชาวชุมชนปากน้ำประแส  หากใครมาท่องเที่ยวที่ชุมชนปากน้ำประแสแล้ว ต้องแวะมาเยี่ยมชมความยิ่งใหญ่ของเรือลำนี้ให้ได้นะคะ  ที่นี่จึงนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด ในยามที่มาเที่ยวจังหวัดระยอง ก่อนจะหันหลังกลับ อ๊ะ!!  อย่าลืมยืนเท่ห์ๆ จัดสักรูปน่าาา อิอิ




ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรือรบหลวงประแสมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ สามารถเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ นะคะ มีการสร้างสะพานเดินชมธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน สะพานไม้ได้ลัดเลาะไปตามป่าโกงกาง ริมสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด ทั้งต้นแสม  ต้นตะบูนดำ ต้นลำพูน โกงกาง โปรงแดง และโปรงทอง ซึ่งเส้นทางนี้สามารถเดินทะลุออกไปยังจุดที่เป็นเสมือนใจกลางทุ่งที่เรียกกันว่าทุ่งโปรงทองนั่นเอง ขณะนี้ยังเช้ามาก ถือว่าเดินออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายกันหน่อย  แต่เราจะไม่เริ่มต้นเดินจากตรงนี้หรอกนะคะ  เราจะขับรถไปเข้าอีกด้านหนึ่งแทน แล้วเราจะมาเล่าเรื่องและพาเที่ยวกันต่อ ไว้ติดตามทริปทุ่งโปรงทองในโอกาสหน้านะคะ ทริปนี้พาเที่ยวเรียกน้ำย่อยกันเบาๆ  ก่อนจะขึ้นรถถ่ายภาพสิค่ะ ... รออะไรอยู่ ฮ่าๆ


เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอ่างกา ดอยอินทนนท์ เชียงใหม่



บนดอยอินทนนท์มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่นักท่องเที่ยวมักนิยมไปเดินมีอยู่ 2 เส้นทางด้วยกันค่ะ คือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา  และ  เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน  สองเส้นทางนี้จะมีระยะทางและใช้เวลาในการเดินแตกต่างกันพอสมควร  สำหรับทริปนี้เรากวาดเรียบทั้งสองเส้นทางเลยค่ะ อิอิ แต่เราขอรีวิวเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาก่อนเนอะ  ซึ่งจริงๆ แล้วเราเดินที่กิ่วแม่ป่านเสร็จแล้ว จึงได้ขับรถมาเดินต่อที่อ่างกาค่ะ เนื่องจากรูปภาพที่กิ่วแม่ปานค่อนข้างจะเยอะ เราขอเวลารวบรวมเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังในวันหลังนะคะ




เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอ่างกา หรืออ่างกาหลวง  ตั้งอยู่บนยอดดอยอินทนนท์  ด้วยความสูงกว่า 2,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล  จึงทำให้สภาพภูมิประเทศบริเวณนี้มีอากาศที่หนาวเย็นเกือบตลอดปี มีลักษณะโดยทั่วไปเป็นป่าดิบปกคลุมไปด้วยพรรณไม้เขตอบอุ่นผสมเขตร้อน  โดยรวมมีสภาพป่าที่หลากหลาย มีพืชพรรณนานาชนิด ซึ่งที่มาของชื่ออ่างกาเป็นชื่อมีที่มาถึง 3 แบบ  ได้แก่ ลักษณะของหินในบริเวณนี้มีรูปร่างคล้ายกา อ่างกาเป็นคำที่เพี้ยนมาจากอั่งกาที่แปลว่าภูเขาใหญ่  และสมัยก่อนบริเวณแอ่งน้ำขังนี้เคยมีอีกามาเล่นน้ำอยู่บ่อยครั้งค่ะ




หลังจากจอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็รีบออกเดินในทันที เพราะยิ่งช้านักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก็จะเริ่มทยอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เส้นทางช่วงแรกจะเป็นขั้นบันไดเทปูน เดินไปแค่นิดเดียว เราก็จะเจอป้ายสูงสุดแดนสยาม  ซึ่งเป็นป้ายไฮไลท์ที่ใครต่อใครจะต้องแวะถ่ายรูปกันทุกคน สิ่งที่น่าสนใจของอ่างกาที่ทำให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวต่างเดินทางขึ้นมาถึงดอยอินทนนท์ ก็คือ การวางเส้นทางสำรวจและการออกแบบเส้นทางเดินโดยคุณไมเคิล แมคมิลแลน วอลซ์ นักสัตววิทยาและอาสาสมัครชาวแคนาดาที่เคยประจำอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่  .ซึ่งมีลักษณะทางเดินเป็นวงกลมมีระยะทางโดยรวมของเส้นทางนี้ประมาณ  300 – 400 เมตร เป็นเส้นทางที่เดินได้ง่าย ระยะทางสั้น พื้นที่ราบเรียบ ไม่อันตรายค่ะ 




เดินมาถึงจุดสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์  หรือ กู่พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ซึ่งเป็นพระบิดาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕)  พระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ ๗ องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร หลังจากพระองค์ได้เสด็จพิราลัย พระอัฐส่วนหนึ่งได้เชิญไปประดิษฐาน ณ พระสถูปบนยอดดอยอินทนนท์แห่งนี้ค่ะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงรักและหวงแหนมากที่สุด หากไม่เร่งรีบมากนัก ควรแวะกราบไหว้เพื่อเป็นการแสดงถึงความเคารพและขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตัวเองนะคะ




ทันทีที่เดินเข้าไปในอ่างกาจะรู้สึกได้ถึงอากาศที่เย็นและชื้นกว่าบริเวณด้านนอก เพราะมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นปกคลุมเต็มพื้นที่  ทางเดินช่วงแรกนั้นเป็นพื้นดินธรรมดา จากนั้นก็จะเป็นทางเดินไม้ยกระดับ เมื่อมีโอกาสได้มาใกล้ชิดธรรมชาติกันขนาดนี้ ไม่ควรเร่งรีบกับสถานที่แห่งนี้กันนะคะ ใช้เวลาให้คุ้มค่าในการซึบซับบรรยากาศ และแวะชมความงดงามของผืนป่าในระยะใกล้ ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนหรือเข้าฤดูปลายฝนต้นหนาวแล้ว สถานที่แห่งนี้จะสวยกว่านี้อีกเยอะค่ะ เพราะความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ทำให้มีมอสและเฟิร์นขึ้นห่อหุ้มอย่างหนาแน่น โอบล้อมเต็มต้นไม้จนแลดูราวกับป่าในยุคดึกดำบรรพ์เลยค่ะ แต่เราไปคนละฤดูกาล มอสและเฟินเลยบางตาเท่าที่เห็น แฮ่ๆ นอกจากนั้นเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกายังเป็นจุดชมนกที่สำคัญอีกด้วย ใครที่ชอบถ่ายภาพนกไม่ควรพลาดเลยนะคะ อิอิ




เมื่อเดินจนสุดทางออก ก็จะมีมุมถ่ายภาพกันเล็กน้อย ช่วงคนเยอะก็ต้องอดทนต่อคิวกันนิดหนึ่งนะคะ อิอิ  ช่วงที่เราเดินทางไป เจอชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะทีเดียว น่าจะเป็นคนจีนแถวสิบสองปันนาประมาณนั่น สังเกตจากชุดและเครื่องแต่งกายค่ะ แฮ่ๆ สำหรับเส้นทางการท่องเที่ยวบนดอยอินทนนท์นั้นยังมีเส้นทางและสถานที่ที่น่าสนใจอีกมากมายหลายแห่ง เพราะที่นี่มีอากาศที่หนาวเย็น และความมหัศจรรย์ของผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ฯลฯ เราเชื่อว่าต่อให้แต่ละคนที่เคยเดินทางมาที่นี่แล้วสักกี่ครั้ง เสน่ห์และความประทับใจของดอยอินทนนท์ก็ยังคงตราตรึงและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางกลับมาเยือนที่นี่กันอยู่เสมอ