จุดชมวิวเนินช้างศึก (ปิล็อก) ทองผาภูมิ


เนินช้างศึก หรือ ยอดดอยปิล็อก เป็นจุดยุทธศาสตร์จุดหนึ่ง ของชายแดนไทย - พม่า เป็นที่ตั้งฐานของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 135 มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,053 เมตร แต่ปัจจุบันเป็นจุดชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ 360 องศา นอกจากนั้นยังมีสถานที่กางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วยนะคะ


ก่อนจะถึงบ้านอีต่องจะเห็นทางขึ้น เนินช้างศึกอยู่ทางด้านซ้ายมือ จากปากทางขึ้นไปถึงจุดชมวิวเนินช้างศึก มีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ถนนค่อนข้างแคบ เป็นลักษณะทางไต่ระดับขึ้นเขา สามารถนำรถยนต์ขึ้นไปด้านบนได้เลย แต่ควรขับด้วยความระมัดระวังเวลารถสวนทางกัน โดยด้านบนมีบ้านพักของเจ้าหน้าที่ ลานเฮลิปคอปเตอร์ และจุดชมวิวในมุมสูง ที่สามารถเห็นวิวได้ทั้งฝั่งไทยและพม่า โดยมีเทือกเขาและแนวป่าเป็นแนวเขาสลับซับซ้อนกัน 


ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวขาลุยจะนิยมมากางเต็นท์กันที่นี่ ในช่วงฤดูหนาว ประมาณเดือนพฤศจิกายน - มกราคม เพราะที่นี่อากาศหนาวเย็น มีหมอกปกคลุม และเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกอย่างสวยงามค่ะ ซึ่งเนินช้างศึก มีลานกางเต็นท์ มีห้องน้ำ แต่ไม่มีร้านค้า หรือร้านอาหารนะคะ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมไปเองทั้งสิ้น หากรู้สึกไม่สะดวกสามารถเข้าไปพักที่หมู่บ้านอีต่องได้ ที่อยู่ห่างออกไปเพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น นอกจากเนินช้างศึก จะเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของปิล็อกแล้ว ที่นี่ยังเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึง พลเอกตะวัน เรืองศรี ที่เสียชีวิตจากเฮลิคอปเตอร์ตกที่แก่งกระจาน เมื่อ พ.ศ.2554 อีกด้วย


บ้านอีต่อง (ปิล็อก) หมู่บ้านในหุบเขา ทองผาภูมิ


บ้านอีต่อง ปิล็อก ทองผาภูมิ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ที่นี่เคยมีเหมืองแร่เก่าที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ปัจจุบันได้ปิดตัวลง คงเหลือเพียงหมู่บ้านอันแสนสงบไม่วุ่นวาย ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในหุบเขา ที่เต็มไปด้วยความงดงามทางธรรมชาติ และมีวิถีชีวิตของชาวบ้านทั้งชาวไทยและชาวพม่า กับมิตรภาพที่มาพร้อมกับรอยยิ้มและความเป็นกันเอง ที่นี่เสมือนมีมนต์สะกด ให้นักท่องเที่ยวนิยมชมชอบ  และโหยหา อยากมาสัมผัสกับธรรมชาติที่แสนบริสุทธิ์ โดยนักท่องเที่ยวได้เดินทางมาเที่ยวที่นี่เกือบตลอดทั้งปีค่ะ


อีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเยือนบ้านอีต่อง ที่ใครๆ ต้องแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ณ บริเวณบ่อน้ำหน้าหมู่บ้านค่ะ หรืออีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ คือ การเขียนป้ายไม้สุดคลาสสิคริมบ่อน้ำ จะมีร้านขายป้ายไม้เล็กๆ สำหรับห้อยกับระเบียงสะพาน จะเขียนชื่อ ความในใจ ชื่อตัวเองกับคู่รักก็เก๋ไปอีกแบบนะคะ หรือจะเลือกเขียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ แล้วผูกแขวนไว้ริมน้ำหน้าตลาดบ้านอีต่อง ไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งได้มาเยือนที่นี่แล้ว ส่วนแผ่นป้ายนี้ราคาเพียง 20 บาทเท่านั้นค่ะ 


ซึ่งบ้านอีต่องเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีเพียงบ่อน้ำ ตลาด วัด เหมือง ร้านอาหาร และโฮมสเตย์ แต่ที่นี่ก็มีความพิเศษ ตรงที่มีอากาศดีตลอดปี เพราะได้ถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จนถูกขนานนามว่า ... เป็นสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ซึ่งระยะทางจากกรุงเทพฯ มาถึงปิล็อกประมาณ 370 กิโลเมตรเท่านั้น และปัจจุบันที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทาง ที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คน ต่างมุ่งมั่นจะมาสัมผัสบรรยากาศที่นี่กันสักครั้ง


เราเดินมาชมด้านหน้าตรงทางเข้าหมู่บ้านกันค่ะ จะเป็นโซนที่มีวิวสวยทีเดียว บ้านอีต่องเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีบ้านประมาณ 50 หลังคาเรือน สำหรับจุดนี้เป็นด้านหน้าหมู่บ้านนะคะ ที่มีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ซึ่งบ้านเรือนตลอดทั้งแถบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโฮมสเตย์เกือบทั้งหมด ซึ่งโฮมสเตย์ในหมู่บ้านอีต่องที่เราเห็นๆ น่าจะประมาณ 10 แห่งได้ค่ะ ซึ่งที่พักส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านของชาวบ้าน ที่ได้นำมาปรับปรุงเพียงเล็กน้อยให้เป็นโฮมสเตย์ขนาดเล็กๆ ไว้สำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว หากในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินทางมากันเยอะ ควรโทรจองที่พักไว้ล่วงหน้านะคะ


เราเดินทางมาที่นี่ประมาณเดือนมิถุนายน กว่าเราจะนำมาเขียนบล็อกได้ วันเวลาก็ล่วงเลยมากว่า 3 เดือนแล้วค่ะ อิอิ ซึ่งช่วงเดือนมิถุนายนไม่น่าเชื่อเลยว่า เราจะมาสัมผัสบรรยากาศที่นี่ได้ถึง 3 ฤดู เพราะวันเดียวเจอทั้งแดด ฝน หมอก สลับกันไปทุกๆ หนึ่งชั่วโมงก็ว่าได้ แบบว่าเปลี่ยนอารมณ์กันไม่ทัน อากาศดี๊ดี บางทีก็มีแสงแดดอ่อนๆ บางครั้งก็สลับมีฝนโปรยปราย บวกกับมีหมอกปกคลุมในบางครา โอ๊ย!! เริ่ดมากๆ ขอบอก ฟินกันถ้วนหน้าเลยค่าาา


บ้านแต่ละหลังสร้างแบบเรียบง่าย และยังคงรูปแบบเดิมในครั้งอดีต ลักษณะเป็นบ้านไม้มุงด้วยหลังคาสังกะสีบ้าง บางหลังก็มุงด้วยกระเบื้องค่ะ พื้นที่ในหมู่บ้านไม่กว้างมาก เพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตามที่เราได้เกริ่นไว้ข้างต้น จึงทำให้เดินเล่นแป๊บเดียวก็ทั่วหมู่บ้านแระ ด้วยสภาพอากาศที่นี่ดีเป็นทุนเดิม จึงทำให้ดอกไม้ใบหญ้าก็สดชื่นตามไปด้วย ดอกไม้สวยๆ เราเก็บภาพได้ระหว่างที่เดินเล่นในหมู่บ้านค่ะ


เราเดินเล่นเรื่อยๆ ในหมู่บ้าน พร้อมกับสำรวจไปในตัว ก็พบว่าภายในหมู่บ้านอีต่อง แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ก็ซ่อนร้านรวงไว้หลายร้านทีเดียว ทั้งร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านขายเสื้อผ้าพื้นบ้าน ร้านขายของชำ ร้านขายโปสการ์ด ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ ที่นี่มีร้านอาหารทะเลด้วยนะคะ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมอยู่บนเขาถึงมีอาหารทะเลได้ เนื่องด้วยหมู่บ้านอีต่องอยู่ห่างจากทะเลอันดามันเพียง 60 กิโลเมตรเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีอาหารทะเลไว้บริการลูกค้าจ้าา


หลังจากเดินสำรวจภายในหมู่บ้านอีต่องจนทะลุปรุโปร่งแล้ว เราเดินต่อมาอีกนิดหนึ่ง บริเวณเหนือตลาดบ้านอีต่อง ก็จะพบวัดปิล็อกอยู่ด้านบนค่ะ มีลักษณะวัดเป็นศิลปะแบบพม่า ด้านบนสามารถขึ้นไปกราบพระธาตุได้นะคะ แต่ต้องถอดรองเท้าขึ้นไป ตามประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติแบบพม่าค่ะ แต่เราไม่ได้ขึ้นไปด้านบนหรอกค่ะ จึงไม่ได้เก็บภาพมาให้ได้ชมกัน เพราะว่าเจอฝนตกปรอยๆ เสียก่อน ไว้โอกาสหน้าถ้าได้มาเยือนที่นี่อีก จะไม่พลาดเก็บภาพมาให้ชมแบบละเอียดนะคะ 


เส้นทางสู่ปิล็อกดินแดน 399 โค้ง ทองผาภูมิ กาญจนบุรี


ปิล็อกดินแดน 399 โค้ง  โดยมีป้ายการันตีปักไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว อยู่บริเวณด้านซ้ายมือ หน้าปากทางเข้าหมู่บ้านอีต่อง  ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ว่าตลอดระยะเวลาที่ขับรถขึ้นมา เราผ่านมาทั้งหมดกี่โค้ง จนมาพบเจอป้ายดังกล่าว ถึงกับร้องอู้หูเลยทีเดียว ต่อไปนี้เราจะมาว่าการเดินทางกันนะคะ การเดินทางของเราเริ่มสตาร์ทกันที่ตลาดทองผาภูมิ ตำบลท่าขนุน เพื่อเดินทางสู่หมู่บ้านอีต่อง ตำบลปิล็อก มีระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร เราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง  


การเดินทางใช้ถนนผ่านเขื่อนวชิราลงกรณ์ ขับรถไปได้สักระยะเราก็จะพบกับชุมชนบ้านท่าแพ ถ้าใครไม่เร่งรีบ หรือทำเวลาในการเดินทางมากนัก เลี้ยวรถเข้าไปซอยท่าแพ 4 ชมบรรยากาศริมทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ์ดูนะคะ สำหรับเราชอบเดินทางแบบเรื่อยๆ มากกว่า ชอบเก็บภาพชมบรรยากาศระหว่างทาง  ทำให้เราได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวบ้านพื้นที่มากขึ้น แหม!! ทำยังกะจะมาหาเสียงอย่างนั้นเลย ฮ่าๆ ที่นี่มีบริการล่องแพและมีบ้านพักสำหรับผู้ที่สนใจด้วยนะคะ สามารถสอบถามจากชาวบ้านละแวกนี้ได้เลยค่ะ 


ที่นี่สามารถเช่าแพ และล่องในทะเลสาบเหนือเขื่อนได้นะคะ มีให้เลือกทั้งแบบแพพักและแพล่อง มีมากมายหลายเจ้า ส่วนใหญ่จะเป็นของชาวบ้านละแวกนี้ทั้งนั้น บรรยากาศโดยรอบสวยงาม ภายในทะเลสาบยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ฟินกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการล่องเรือชมทิวทัศน์เหนืออ่างเก็บน้ำ การชมสวนมะพร้าวกะทิบนเกาะกลางน้ำ การตกปลา พายเรือ ชมพระอาทิตย์ยามเย็น ฯลฯ คราวหน้าเราตั้งใจว่าจะมาสัมผัสกับกิจกรรมเหล่านี้บ้างแล้ว เพราะที่นี่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปีไม่มีเอ้าท์นะจ้ะ


เมื่อออกจากชุมชนบ้านท่าแพแล้ว เราก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไป โดยตลอดเส้นทางประมาณ 30 กิโลเมตร จะเป็นถนนลาดยางอย่างดี แต่พอเลยช่วงนั้นไปแล้วถนนทางขึ้น ไปยังหมู่บ้านอีต่องค่อนข้างแคบ และขรุขระเป็นบางช่วง ค่อนข้างอันตรายในการกรณีที่มีรถสวนทาง เพราะเป็นดินแดน 399 โค้ง ต้องมีการชะลอถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนะคะ สำหรับรถเก๋งและรถเล็กสามารถไปได้ค่ะ 


ระหว่างการเดินทางเราสามารถสัมผัสธรรมชาติที่เขียวขจี ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ ได้ตลอดสองข้างทางค่ะ  ว่าแล้วแวะกันสักหน่อยนะคะ เพราะจุดนี้สามารถรับสัญญาณโทรศัพท์ทั้ง 3 เครือข่ายได้นะเออ แวะชมทัศนียภาพกันไปเรื่อยๆ ที่สำคัญแวะเช็คอินทิ้งร่องรอยกันสักหน่อย เดี๋ยวไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ฮ่าๆ เราจะบอกว่าสัญญาณดีแทคเริ่มเบาบางตั้งแต่ผ่านเขื่อนวชิราลงกรณ์แล้วค่ะ ส่วนค่าย AIS ก็เริ่มจะไม่เสถียรเช่นกัน อิอิ และที่สำคัญเป็นการพักรถพักคน พร้อมยืดเส้นยืดสายไปในตัว หลังจากถูกเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวามาไม่รู้กี่โค้งแล้ว ฮ่าๆ 


แม้เส้นทางอาจจะทุลักทุเลไปบ้าง เพราะต้องพิชิตเส้นทาง 399 โค้ง เพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ และต้องใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ แต่เราคิดว่าก็ไม่เป็นอุปสรรค สำหรับนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจจะเดินทาง ไปให้ถึงหมู่บ้านอีต่องค่ะ แต่เราโชคดีมากที่เลือกวันเดินทางเป็นวันธรรมดา จึงไม่ค่อยมีรถขับสวนทางกันเท่าไหร่ แม้จะไม่มีเพื่อนร่วมทาง อาจจะอ้างว้าง ดูเปลี่ยวไปบ้างในบางช่วง แต่ถ้ามั่นใจในสมรรถนะของรถว่าจะไม่งอแง ก็ไม่มีอะไรน่ากังวลค่ะ ยังคงแวะจุดชมวิวอยู่เรื่อยๆ ไม่มีนัดกับใคร ก็เถลไถลไปพลางๆ ฮ่าๆ


ปิล็อกดินแดน 399 โค้ง ถือว่าเป็นความยาวนานที่บอบช้ำบั้นท้ายที่สุด รองลงมาจากแม่ฮ่องสอนก็ว่าได้ เพราะระยะทาง 60 กิโลเมตร บนถนนเส้นทางเสมือนงูเลื้อย ที่ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง หากเป็นถนนปกติเราใช้เวลาในการเดินทาง ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางค่ะ เพราะมีจุดชมวิว ให้เราได้แวะอย่างจุใจตลอดเส้นทาง เราจึงไม่แปลกใจที่ทำให้ผู้คนมากมายต่างมุ่งมั่น มาชมหมู่บ้านอีต่อง ที่เป็นหมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา และสายหมอกสุดเขตแดนตะวันตก ที่ถูกขนานนามสถานที่แห่งนี้ว่า เป็นสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย


และในที่สุดเราก็เดินทางผ่านดินแดน 399 โค้ง มาถึงหมู่บ้านอีต่องจนได้  ซึ่งบ้านอีต่อง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีเพียงบ่อน้ำ ตลาด วัด เหมือง ร้านอาหาร และโฮมสเตย์ แต่ที่นี่มีความพิเศษตรงที่มีอากาศดีตลอดปีค่ะ เพราะถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จนถูกขนานนามว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ซึ่งระยะทางจากกรุงเทพมาถึงปิล็อกประมาณ 370 กิโลเมตรเท่านั้น และปัจจุบันที่นี่ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คน ต่างต้องการมาสัมผัสบรรยากาศที่นี่กันสักครั้ง ซึ่งในบล็อกหน้าเราจะมาเล่า และเก็บภาพหมู่บ้านอีต่องมาให้ได้ชมกันนะคะ